วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

การแสดงออกของ gene นอกเหนือจากกฎของ Mendel
4.1 การแสดงออกแบบข่มไม่สมบูรณ์ (incomplete dominance) หรือการแสดงออกเท่ากัน (codominance) ของ gene แต่ละคู่ ถ้า gene คู่ใดมีการข่มแบบไม่สมบูรณ์ คือ dominant gene ไม่สามารถแสดงการข่ม recessive gene ได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งมีชีวิตที่มี gene คู่นั้นอยู่ในสภาพ heterozygous จะมี phenotype ที่แตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตที่มี gene คู่นั้นอยู่ในสภาพ homozygous dominant นั่นคือ เกิดเป็น phenotype แบบที่สามขึ้นมา ซึ่งอาจเป็นลักษณะที่ผสมหรืออยู่กึ่งกลางระหว่างลักษณะที่เป็น dominant กับลักษณะที่เป็น recessive
4.2 Lethal effect lethal effect คือการที่ gene คู่ใดคู่หนึ่ง เมื่ออยู่ในสภาพ homozygous จะแสดงผลทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นตาย
4.3 Gene Interaction การแสดงออกร่วมกันของ gene สองคู่ต่อลักษณะเดียว ลักษณะหนึ่ง ๆ ที่ปรากฏนั้นเป็นผลเนื่องมาจากปฏิกิริยาร่วม (interaction) ระหว่าง gene หลายคู่ ทั้งนี้ก็เพราะลักษณะต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตต้องผ่านการพัฒนา (development) โดยอาศัยขั้นตอนที่ซับซ้อนของปฏิกิริยาและปฏิกิริยาร่วมต่าง ๆ จำนวนมาก โดยมี gene แต่ละคู่เป็นตัวควบคุมขั้นตอนของปฏิกิริยาต่าง ๆ นั้น
4.3.1 Atavism หรือ Reversion หรือ Novel phenotype การแสดงออกร่วมกันของ gene สองคู่ต่อลักษณะหนึ่งๆ เช่น gene A แสดงลักษณะ A และ gene B แสดงลักษณะ B หากสิ่งมีชีวิตมีทั้ง gene A และ B อยู่ด้วยกัน สิ่งมีชีวิตดังกล่าวจะมีลักษณะใหม่ (novel genotype) คือลักษณะ C ปรากฏออกมา
4.3.2 Complementary หรือ Duplicate-Recessive Epistasis gene 2 คู่ที่เป็นอิสระต่อกันอาจมีปฏิกิริยาร่วมกันในการแสดงออกของลักษณะหนึ่ง โดยที่ dominant gene ตัวใดตัวหนึ่งไม่สามารถแสดงออกโดยตัวของมันเอง นอกเสียจากว่า dominant gene ทั้งสองตัวมาอยู่ร่วมกัน gene ทั้งสองคู่นี้แสดงอิทธิพลเป็นแบบ complementary. dominant gene แต่ละตัวช่วยกันแสดงออกต่อลักษณะหนึ่ง หาก gene คู่ใดคู่หนึ่งหรือทั้งสองคู่เป็น recessive ก็จะแสดงลักษณะตรงข้ามออกมา
4.3.3 Supplementary หรือ Recessive Epistasis เป็นปฏิกิริยาระหว่าง gene 2 คู่ที่แสดงออกต่อลักษณะเดียวกันโดยที่ dominant gene ของ gene ตำแหน่งที่ 1 สามารถแสดงออกโดยไม่อาศัย dominant gene ของ gene ตำแหน่งที่ 2 ไม่ว่า dominant gene ของ gene ตำแหน่งที่ 2 จะปรากฏอยู่หรือไม่ แต่ dominant gene ของ gene ตำแหน่งที่ 2 จะแสดงออกก็ต่อเมื่อมี dominant gene ของ gene ตำแหน่งที่ 1 อยู่ด้วย
4.3.4 Dominant Epistasis เป็นการข่มข้ามหรือ epistasis ที่เกิดจาก dominant gene เรียกว่า dominant epistasis เฉพาะ dominant gene ตัวเดียวเท่านั้นที่แสดงการข่มข้ามไม่ให้ dominant หรือ recessive ของ gene อีกคู่หนึ่งแสดงออก
4.3.5 Inhibitory factor or dominant recessive epistasis เป็นปฏิกิริยาระหว่าง gene 2 คู่ที่ต่างฝ่ายต่างข่มข้ามกัน (epistasis) หรือต่างฝ่ายต่างระงับการแสดงออก (inhibit) ของ gene ที่ไม่ได้เป็นคู่ของมัน 4.3.6 Duplicate factor or Duplicate Dominant Epistasis พันธุกรรมของลักษณะบางอย่างในสิ่งมีชีวิตถูกควบคุมโดย gene ที่ซ้ำซ้อนกัน และ gene ที่ควบคุมแต่ละตัวไม่แสดงผลทบรวม (cumulative effect) ต่อลักษณะนั้น
4.3.7 Polymerism or Duplicate Interaction เป็นการแสดงออกของ dominant gene แต่ละตัวของ gene แต่ละคู่ ที่มีต่อลักษณะหนึ่งในแบบทบรวม (แต่ dominant gene ของ gene คู่เดียวกันจะไม่แสดงผลทบรวม)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น